ก่อนที่จะเข้าพื้นที่อับอากาศ จะต้องใช้เครื่องวัดก๊าซแบบมีปั๊ม และสายยาง ทำการวัดก๊าซที่อยู่ภายในพพื้นที่ เพื่อให้แน่ใจว่าภายในไม่มีก๊าซที่เป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน ในการวัดก๊าซนั้น จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงการแบ่งชั้นของก๊าซ (Stratification) โดยก๊าซผสมจะเกิดการแบ่งชั้นออกจากกัน เนื่องจากความแตกต่างของความหนาแน่นของก๊าซแต่ละชนิด โดยก๊าซที่มีความหนาแน่นมากกว่าอากาศ เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) โพรเพน (C3H8) จะจมลงไปอยู่ส่วนด้านล่างของพื้นที่ ในขณะที่กำซที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าอากาศ เช่น มีเทน (CH4) แอมโมเนีย (NH3) จะลอยขึ้นไปอยู่ส่วนบนของพื้นที่ และก๊าซที่มีความหนาแน่นใกล้เคียงกับอากาศ เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) จะลอยอยู่ส่วนกลางของพื้นที่ เพราะฉะนั้นในการวัดก๊าซ จำเป็นที่จะต้องตรวจวัดหลายระดับความลึก เพื่อให้มั่นใจว่าภายในไม่มีก๊าซที่เป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน
อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่อาจจะมีผลต่อก๊าซภายในพื้นที่ เช่น
- การระบายอากาศ อุณหภูมิ ซึ่งอาจจะอากาศข้างในผันผวน ส่งให้อ่านค่าได้ไม่ถูกต้อง
- การวัดก๊าซควรจะต้องวัดห่างจากจุดเปิดเข้าพื้นที่อับกากาศ เนื่องจากอาจจะมีกระแสลมจากภายนอกเข้าไปในจุดเปิดนั้น และทำให้ค่าอ่านผิดพลาดได้
- ในกรณีวัดก๊าซติดไฟ (Flammable gases) จะต้องเลือกใช้ชนิดของเซนเซอร์ให้เหมาะสม เช่น หากในพื้นที่มีก๊าซออกซิเจนน้อย จะส่งผลต่อความถูกต้องในการวัดของเซนเซอร์แบบขดลวดความร้อน (Catalytic bead)
- ระยะเวลาหน่วง (Lag time) ในการวัดก๊าซโดยเครื่องวัดก๊าซแบบมีปั๊ม และสายยาง จะทำให้มีระยะเวลาหน่วงที่เกิดจากการเดินทางของก๊าซจากจุดที่ต้องการตรวจวัด จนถึงเครื่องวัดก๊าซ ซึ่งระยะเวลาหน่วงนี้ ขึ้นอยู่กับอัตราการไหล ของเครื่องวัดก๊าซแต่ละยี่ห้อ หลังจากที่ก๊าซเดินทางมาถึงเครื่องวัดก๊าซแล้ว จะต้องรอให้เครื่องวัดก๊าซอ่านค่าจนนิ่งเสียก่อน จึงจะทำการบันทึกค่า